สมัยนี้กิจกรรมอย่างหนึ่งที่วัยรุ่นชอบทำตอนกลางคืน นอกจากเที่ยวเตร่ตามผับบาร์แล้วนั้นก็คือการไปตามที่ต่างๆที่ผู้คนชอบบอกว่ามีสิ่งลี้ลับอยู่เพื่อค้นหาคำตอบและหวังว่าจะเจอสิ่งที่เรียกว่า”ผี”
        ในคืนสงัดผมกับเพื่อนอีกสองคนได้พากันไปนั่งคุยกันที่ป่าช้าหลังวัด วัดหนึ่ง
..
“เอ็งเคยเชื่อเรื่องผีมั้ยว่ะไอ้เต้ย”  ผมเป็นคนเริ่มการสนทนา
“ข้าไม่เคยเชื่อเลยว่ะ  จริงๆนะตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วตอนที่ข้ายังเป็นเด็กวัดอยู่ ใครๆก็ลือกันว่าป่าช้าวัดที่ข้าเคยอยู่นั้นผีดุ ผีเฮี้ยนบ้างแต่จนแล้วจนเล่าข้าก็ไม่เคยเจอซักที จนข้าย้ายออกมาเรียนที่กรุงเทพเนี่ย”
“ แล้วเอ็งล่ะ ไอ้เปี๊ยกเอ็งเชื่อหรือเปล่าเรื่องผีน่ะ” ผมหันมาถามไอ้เปี๊ยก
“สำหรับข้านะ ข้าไม่เชื่อแต่ก็ไม่ลบหลู่ว่ะเพราะเมื่อก่อนแถวบ้านข้าเคยมีคนตายตรงทางสามแพ่ง หลังจากนั้นคนก็ลือกันว่าเวลาขี่รถผ่านสามแยกตอนกลางคืนทีไร จะเห็นเป็นคนมายืนโบกรถ แล้วถามว่าจะไปไหนหรือบางคันที่เป็นมอเตอร์ไซต์ขี่มาคนเดียวอยู่ดีๆพอผ่านสามแยกเท่านั้นแหละ ก็มีคนขึ้นมานั่งซ้อนท้ายเฉยเลยแล้วบอกให้ไปส่งบ้านให้หน่อย  ฮึย!! นี่ข้านึกถึงเค้าเล่าแล้วข้ายังขนลุกเลย ขนาดไม่รู้ว่าเรื่องนี้จริงหรือเปล่านะเนี่ย”  ไอ้เปี๊ยกพูดพลางขนลุกไปด้วย ทำให้บรรยากาศน่ากลัวขึ้นมาทันทีผมเองเลยคิดกลัวตามมันไปด้วยเลย
“แล้วเอ็งล่ะไอ้นิ เอ็งเชื่อหรือเปล่าว่ะ”  ไอ้เต้ยมันหันมาถามผมบ้าง
“ข้าเหรอ เชื่อว่ะว่าผีมีจริงแต่ข้าก็ไม่กลัว “ ผมตอบออกไป
“แหม ปากดีนะเอ็ง ถ้ามาจริงๆแล้วข้าจะหัวเราะให้”  ไอ้เปี๊ยกพูดเย้ยใส่ผม
“มาก็ดีเด่ะ ข้าจะเตะผีให้พวกเอ็งดูเลย” ผมพูดอวดให้พวกมันฟัง
“แต่เดี๋ยวก่อนนะเว้ยข้าลืมไปว่า ข้าคิดว่าเคยเจอผีอยู่ครั้งนึงแต่ไม่แน่ใจว่าชัวร์หรือเปล่า” ไอ้เปี๊ยกพูกขัดขึ้นมาทำให้บรรยากาศดูอึมครึมขึ้นทันที
“ อะไรว่ะไอ้เปี๊ยก เอ็งเคยเจอเหรอ” ไอ้เต้ยถามขึ้น
“เออว่ะ ตอนนั้นข้าไปที่บ้านพี่ชายข้าที่นนทบุรี  พอดีพี่ข้าต้องออกไปทำงานตอนกลางคืนข้าก็เลยต้องเฝ้าบ้านคนเดียว หมู่บ้านที่พี่ข้าอยู่นั้นมันเพิ่งจะสร้างแล้วคนก็มาอยู่กันน้อยเพราะเพิ่งจะขาย อีกอย่างทำเลก็ไม่ดีเลยทำให้บริเวณรอบบ้านของพี่ข้ามีแต่บ้านร้างไม่มีคนอยู่  ต้องถัดไปอีกห้าหกหลังถึงจะมีคนเลยทำให้แถวบ้านพี่ข้าเงียบมากในตอนกลางคืน  คืนนั้นข้าปิดไฟนอนตอนประมาณห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืนเห็นจะได้ นอนไปซักพักข้าก็ได้ยินเสียงคนพูดกันแต่ไม่รู้ว่าพูดอะไรเพราะเสียงมันเบา  ก็เลยลุกขึ้นมาดูแต่ไม่เปิดไฟนะเว้ยเพราะข้าคิดว่าถ้าเป็นขโมยจะได้ไม่รู้ตัวเพราะแสงไฟ    แต่พอข้าย่องลงมาดูทั่วบ้านก็ไม่มีอะไร แต่เสียงมันก็ยังแว่วเข้าหูข้าอยู่ตลอด  เอ
.มันชักจะยังไงแล้วก็เลยแอบเปิดผ้าม่านมองไปบ้านข้างๆ  พอข้ามองไปเท่านั้นแหละข้าเห็นคนอยู่บนชั้นสองของบ้านร้างกันเต็มเลยมีแสงไฟส่องวูบวาบไปมา  ซักพักสายตาประมาณสิบกว่าคู่ได้มั้ง ก็จ้องมาที่บ้านข้ากันทั้งหมด ขนข้าลุกเลยกลัวมากตอนนั้น ในใจก็คิดว่าเอาแล้วข้าเจอของดีแน่แล้ว  ข้าท่องนโมไม่รู้กี่จบ แต่มันก็ยังได้ยินเสียงแว่วเข้าหูอยู่อย่างนั้นตลอดไม่ไปไหนซักที  ตอนนั้นข้าคิดเลยว่าไหนพี่ข้าบอกว่าไม่มีใครอยู่เลยแถวนี้  แล้วไอ้ที่ข้าเจออยู่ตอนนี้เป็นสิบมันคืออะไรว่ะ  แถมก่อนมานอนบ้านพี่ข้าก็ได้ฟังคนเค้าเล่าเรื่องผีที่ตายหมู่แถวเมืองนนท์ ซะด้วย    เล่นเอาข้ากลัวแทบตายเลยคืนนั้น  พอเช้ามาพี่ข้ากลับมาถึงบ้านข้าเล่าเรื่องนี้ให้พี่ข้าฟังพี่ข้าก็เลยเอายันต์จากวัดแถวบ้าน มาแปะไว้หน้าประตู และแอบเอาไปแปะไว้บ้านร้างข้างๆที่ข้าเล่าให้พี่ข้าฟังด้วย เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้แหละ”
“ โห
ไอ้เปี๊ยกเอ็งเจอทีเป็นสิบเลยหรือว่ะ  เก่งว่ะที่รอดมาได้” ผมพูดยอไอ้เปี๊ยกมัน
“ เอ็งกลัวไปเองหรือเปล่าว่ะไอ้เปี๊ยก อาจจะเป็นคนก็ได้” ไอ้เต้ยพูดขัดความคิดขึ้นมา
“ผีกะเตี่ยเอ็งนะซิ!!  ก็พี่ข้าก็บอกอยู่ว่าบ้านแถวนั้นไม่มีคนอยู่ไม่มีใครซื้อแล้วคนจะมาจากไหนกันเยอะแยะขนาดนั้นตอนกลางคืน อีกอย่างถ้าคนจะมาอยู่ก็มาอยู่ไม่ได้เพราะว่าบ้านหลังข้างๆนั้นมันยังไม่ได้ต่อไฟต่อน้ำเข้าไปเลย” ไอ้เปี๊ยกพูดใส่ไอ้เต้ยในขณะที่ผมก็กำลังฟังมันทั้งคู่เถียงกันอย่างออกรส
“ แล้วเตี่ยข้ามาเกี่ยวอะไรด้วยว่ะ” ไอ้เต้ยมันยั้วะที่ไอ้เปี๊ยกเอาเตี่ยมันมาพูด
“ก็เอ็งเสือกเถียงข้าทำไมล่ะไอ้เต้ยข้าอุตสาห์เล่าให้ฟังดีๆ” ไอ้เปี๊ยกพูดสวน
“เอาน่า พวกเอ็งสองคนจะเถียงกันทำไมว่ะกับอีแค่เรื่องผีเนี่ย” ผมพูดเพื่อที่จะหยุดทั้งสองไม่ให้จากการเล่าเรื่องผี กลายเป็นการด่ากัน
     
      เวลาก็เลยผ่านมาจนตอนนี้เกือบจะตีหนึ่งพวกผมก็นั่งคุยกันอยู่อย่างสนุกถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านมาในอดีตของพวกเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องแฟนเรื่องทางบ้าน ไอ้เต้ยมันก็เลยปรับทุกข์กับพวกเราเรื่องแฟนของมันขึ้นมาอย่างโศกเศร้าทีเดียว
“ข้านะเว้ยทำเพื่อแฟนข้าทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะหาเงินให้ใช้ ไปรับไปส่ง ซื้อโทรศัพท์ ออกค่าเช่าห้อง ค่าใช้จ่ายจิปาถะ ข้าเป็นคนหามาให้หมด  ก็หวังว่าแฟนข้าจะรักข้าคนเดียว จริงๆนะข้าขอแค่แฟนข้ารักข้าเท่านั้น ข้าจะยอมทำทุกอย่างเลย แต่ที่ไหนได้เงินที่ข้าหามามันกับเอาไปให้ผู้ชายอีกคนนึง เวลาที่ไม่ได้อยู่กับข้า แฟนข้าก็ไปอยู่กับผู้ชายอื่น ค่าโทรศัพท์ที่ข้าจ่ายให้หลายพันต่อเดือนมันก็หมดไปกับการที่เอาไปคุยกับผู้ชายคนอื่น  ข้าก็เลยแค้นมากที่มันหลอกข้าได้ขนาดนี้ “  ไอ้เต้ยพูดน้ำเสียงโกรธแค้นผมก็เลยถามมันด้วยความอยากรู้
“แล้วเอ็งทำยังไงล่ะ เลิกหรือยังจะคบอยู่”
“ข้าก็เลิกเด่ะ ทำกับข้าขนาดนี้ถึงรักยังไงก็ไม่ไหวหรอก แต่ก่อนที่ข้าจะเลิกข้าก็ทำกับมันทั้งสองไว้เจ็บเหมือนกัน” ไอ้เต้ยพูดอย่างสะใจ
“ทำอะไรว่ะ” ไอ้เปี๊ยกถาม
“ข้าก็จับมันทั้งคู่ยัดกระสอบแล้วก็ถ่วงเจ้าพระยา ก็แค่นั้น”
“เฮ้ย!! ไอ้เต้ยเอ็งพูดเล่นหรือเปล่า เอ็งไม่กลัวบาปเหรอ” ไอ้เปี๊ยกถามอย่างตกใจและผมเองก็ตกใจไปด้วยกับที่ไอ้เต้ยมันพูด
“ในตอนนั้นบาปข้าไม่กลัวหรอกเว้ย  ข้าแค้นมากก็เลยพลั้งมือทำลงไปแต่พอมานั่งคิดดูอีกทีก็สำนึกได้ว่าทำอะไรลงไป  ซึ่งมันก็สายไปแล้ว”
“เอ็งไม่น่าเลยว่ะไอ้เต้ย น่าจะคิดให้รอบคอบหน่อยเอ็ง” ไอ้เปี๊ยกพูด
“เอาน่าตอนนั้นไอ้เต้ยมันแค้นมากก็เลยลงมือทำด้วยอารมณ์โกรธ อย่างน้อยตอนนี้มันก็สำนึกแล้วถึงมันจะสายก็เถอะ” ผมพูดกับไอ้เปี๊ยกพร้อมให้กำลังใจไอ้เต้ยมันที่ดูหดหู่ขึ้นทันทีที่มันเล่าเรื่องนี้ขึ้นมา
“แล้วเอ็งล่ะไอ้นิ  ไม่เห็นบอกพวกข้าเลยว่าเอ็งคิดยังไงถึงได้ไปฆ่าผู้หญิงคนนั้นได้”  ไอ้เปี๊ยกถามผมขึ้น
“ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก สาเหตุของเรื่องมันก็คล้ายๆกับเรื่องของไอ้เต้ยนะแหละ แต่พอดีว่าข้าใช้วิธีคนละอย่างกับของมันจัดการปัญหา ข้าถึงได้เข้าใจไอ้เต้ยไงล่ะว่ามันรู้สึกยังไง” ผมตอบออกไปให้ไอ้เปี๊ยกได้หายสงสัย
“แล้วเอ็งใช้วิธีอะไรล่ะ” ไอ้เปี๊ยกถามต่อ
“ข้าเคยเล่าให้เอ็งฟังแล้วไม่ใช่เหรอว่าข้าเป็นนักศึกษาแพทย์ เรื่องกล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูกของมนุษย์เนี่ยข้าก็รู้ดี  ข้าก็เลยใช้วิธีที่ข้าถนัดจัดการกับผู้หญิงคนนั้นซะ” 
“เอ็งอย่าบอกข้านะว่าเอ็ง ฆ่าหั่นศพ!!!” ไอ้เปี๊ยกกับไอ้เต้ยต่างก็พูดพร้อมกันอย่างเสียงดัง
“เออ ก็ข้ารู้แค่วิธีนี้นี่หว่า” 
“ เอ็งโหดว่ะไอ้นิ”  ไอ้เต้ยอุทานขึ้น
“แต่ยังน้อยกว่าไอ้เปี๊ยกนะเว้ย” ผมพูดขึ้น
“น้อยกว่ายังไงว่ะ” ไอ้เต้ยถามผมเพราะสงสัยขึ้นมา
“ก็ไอ้เปี๊ยกมันเล่นฆ่ายกครอบครัวเลยอะเด่ะ  โหดชิบไม่รู้ใจคอทำด้วยอะไร” ผมพูดพร้อมหันไปมองหน้าไอ้เปี๊ยก
“พวกเอ็งอย่ามามองหน้าข้าแบบนี้นะ ก็ตอนนั้นข้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้นี่หว่ามันก็เหมือนกับเอ็งทั้งสองนั่นแหละทำไปโดยอารมณ์ชั่ววูบ” ไอ้เปี๊ยกแก้ตัว
“ข้าก็ไม่ได้ว่าอะไรเอ็งซักหน่อย”
        ในชั่วเวลานั้นเองเสียงของฝีเท้าหลายคู่ก็ดังขึ้น  ประมาณว่าหลายคนเลยทีเดียวซักพักก็มีแสงไฟจากไฟฉายส่องกวาดไปมา เริ่มมีเสียงของผู้คนดังแว่วมาแต่ไกล ผมจึงหันไปพูดกับไอ้เปี๊ยกและไอ้เต้ย
“เฮ้ย เราแยกย้ายกันก่อนดีกว่าว่ะ ไอ้พวกนี้มันมากันอีกแล้ว”
“ เออไปก็ดี ไม่รู้ว่าไอ้พวกนี้มันจะอะไรกันนักกันหนา กลางค่ำกลางคืนยังจะมากันอยู่ได้” ไอ้เต้ยพูดขึ้นอย่างรำคาญ
“ เดี๋ยวข้าก็เล่นให้หัวโกร๋นซะเลยไอ้พวกนี้ น่ารำคาญจริงๆ” ไอ้เปี๊ยกพูดขึ้น
“เอาน่า อย่าให้พวกนั้นมันเห็นจะดีกว่าจะได้สงบๆหน่อย” ผมพูดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะแยกย้ายกัน
หลายนาทีต่อมา
“พี่ตากล้องพร้อมยัง?”
“โอเค เริ่มได้เลย สาม
สอง
.หนึ่ง”
ชายผู้มีเสียงแหบแห้งก็เริ่มต้นพูดขึ้น     
“ครับสวัสดีครับท่านผู้ชม ผม กมล  ทองพลุบ มาพบท่านผู้ชมอีกเช่นเคยในช่วงลองของ และในวันนี้ผมจะพาท่านผู้ชมกับน้องๆที่อาสามาลองของกับทางรายการเรา  มากันที่ป่าช้าวัดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่เก็บศพของนักโทษประหารที่ก่อคดีดังๆในประเทศ เช่น นายเปี๊ยกที่ฆ่ายกครอบครัว  หรือนายนิฆ่าหั่นศพ  และนายเต้ยที่ฆ่าแฟนสาวกับชู้ยัดกระสอบ  ซึ่งมีชาวบ้านแถวนี้ลือกันว่า ป่าช้าแห่งนี้มีผีออกมาหลอกหลอนให้เห็นเป็นประจำเราจะมาลองของกันดูนะครับว่าผีจะมีจริงหรือเปล่า
.อ่ะ!!!ท่านผู้ชมครับ!!!เครื่องตรวจจับสามารถวัดคลื่นพลังในบริเวณนี้ได้ครับ  ขึ้นไปเรื่อยๆแล้วครับ!!!!!”
.
“ครับท่านผู้ชมครับ และในวันนี้เราก็ไม่พบเจออะไรที่เป็นสิ่งผิดปกติเลย มีเพียงบางช่วงที่เครื่องสามารถวัดค่าคลื่นพลังได้เท่านั้น  ผมจึงต้องขอบคุณน้องๆที่มาร่วมรายการในช่วงลองของ และคราวหน้าอย่าลืมติดตามดูนะครับเพราะว่าเราจะไปลองของกันที่เมืองนนท์ในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ติดตามให้ได้นะครับวันนี้ลาไปก่อนครับ”
.............จบ.............
ยังมีเรื่องสั้นอีกหลายเรื่องให้ได้อ่านกันอีกเพียง พิมพ์คำว่า
เชือกผูกลม ลงในช่องค้นหานักเขียนก็จะพบเรื่องสั้นหลากหลายให้อ่านกัน
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น